เชคสเปียร์ไปรัฐสภา
รายงานกองถ่ายและญาติมิตร ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ที่รักทุกท่าน
ในเมื่อบัดนี้เราได้เข้าสู่ขบวนการทางกฎหมาย พร้อมความช่วยเหลือและคำแนะนำของอัศวินเกราะทอง คุณวสันต์ พาณิช แห่งสภาทนายความ ฉันเล่ารายละเอียดไม่ได้มาก เล่าได้แต่สีสัน
วันพุธที่ 30 พค. เวลา 10 โมงเช้า มานิต, บ็อสเลดี้ปุ๋ม และฉัน ไปยื่นคำร้องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้พบคุณหมอนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมือง สิทธิการเมืองและสิทธิสื่อ ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองที่กำลังเดือดพล่านทั้งในสภาและนอกสภา เรื่อง พรบ.ปรองดอง เราไม่คาดหมายว่าจะมีนักข่าวมาสนใจละครฉากเล็กๆ ของเรา แต่ก็ยังอุตส่าห์มีมาบ้าง ช่วยเติมกำลังใจที่มีคนเห็นว่าสงครามกับกองเซ็นเซอร์ของเราก็สำคัญเหมือนกันสำหรับประชาธิปไตย
บ่ายวันนั้น ทีแรกเรามีนัดกับท่านประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน, สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา แต่ท่านขอเลื่อนไปวันถัดไป เพราะเกรงว่าเราจะฝ่าเข้าไปไม่ได้ ท่ามกลางการประท้วงรอบใหม่ของพันธมิตรหน้ารัฐสภา
วันรุ่งขึ้น (พฤหัส 31 พค.) ตอนเที่ยง ทั้งที่การประท้วงยังมีอยู่และกำลังเข้มข้น เราสามคนเดินทางไปรัฐสภา โดยหลบเข้าไปจอดรถในเขาดินกับบรรดานักข่าว แล้วเดินทะลุสวนสัตว์ผ่านนกฟลามิงโกสีชมพู ไปยังถนนหน้ารัฐสภา ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ประท้วง
ประตูรัฐสภาปิดแน่น แนวรั้วภายในขนานนาบด้วยตำรวจที่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ เราบอกว่าเรามีนัด และระหว่างที่ยืนรอให้เขาเช็คเรื่องนี้ ผู้ประท้วงผู้หญิงใบหน้ายิ้มแฉ่งผลักเราไปข้างหน้า เพราะนึกว่าเราเป็นผู้ประท้วงที่บ้าบิ่นเป็นพิเศษที่กำลังจะบุกเข้าไปในรัฐสภา “ไปเลย! ไปเลย!” เธอเชียร์ พร้อมเขย่ามือตบ
บนถนนนอกรั้วคึกคักเฮฮา แต่พอเราผ่านเข้าไปด้านใน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ตำรวจรอบรั้วกำลังถูกเสริมเพิ่มเป็นสองชั้น สโมสรรัฐสภาที่เราไปนั่งรอให้เขาเรียก เต็มไปด้วยตำรวจและทหารสารพัดชนิด ทั้งหน่วยจู่โจม หน่วยปราบจราจล ฯลฯ ที่กำลังนั่งรอคำสั่ง
การพูดคุยกับท่านประธานคณะกรรมาธิการสมชาย แสวงการ เป็นไปด้วยดี ท่านให้เวลาเรา ทั้งที่ (ภายหลังเราจึงรู้จากพาดหัวข่าวว่า) ท่านกำลังเตรียมตัวแถลงข่าวสำคัญเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ น่าสนใจว่าไม่มีการห้ามบันทึกวีดิโอหรือถ่ายรูป ทั้งโดยตัวฉันและนักข่าว ไม่มีการเลี่ยงคำถามนักข่าว ทั้งที่นี่และที่คณะกรรมการสิทธิฯ ซึ่งตรงกันข้ามกับองค์กรกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งกรรมการเซ็นเซอร์ อนุกรรมการฟิล์มบอร์ดด้านกฎหมาย และคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติ ความแตกต่างระหว่างความโปร่งใสและการปกปิดตรงนี้ น่าจะสรุปทุกอย่างให้เห็นได้อย่างชัดแจ้ง
พอเรากลับลงมาจากตึกวุฒิสภา ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เสียงกลุ่มประท้วงที่ล้อมอยู่ทั้งสองด้านกึกก้องเข้ามา (น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้เสียงนี้ในหนัง เพราะมันเป็นเสียงที่อลังการจริงๆ) ไม่ใช่แค่เสียงจากเวที แต่จากฝูงชนที่แห่แหนมาหนาแน่นกว่าเดิมหลายเท่า ตำรวจปราบจราจลเดินเรียงแถวพร้อมเกราะมาเสริมกองกำลังที่รั้ว ซึ่งมีลวดหนามกั้นเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง เป็นอันว่า เขาไม่ให้เรากลับออกไปทางประตูหน้าที่เราเข้ามา เพราะกำลังมีการเผชิญหน้ากันขณะที่พันธมิตรรอฟังคำตอบจากรัฐสภา เราเดินขึ้นไปยืนดูสถานการณ์กับกองทัพนักข่าวที่ลานพระบรมรูป ร.7 บนเนินหน้ารัฐสภา จากบนนี้วิวดีมาก ราวกับว่ากำลังดูมหากาพย์ของเซซิล บี เดอมีลล์อยู่ในโรงละครกรีกบนไหล่เขา สักพัก แกนนำพันธมิตร มหาจำลอง, อ.สมเกียรติและตั้ว ศรันยู ก็เดินเข้ามาทางประตูหน้าเพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ปรากฎว่าเขาเดินตรงมาที่เรายืนกันอยู่พอดี ท่ามกลางการรุมสกรัมของช่างภาพ เรามีโอกาสยิ้มทักทายกับตั้วนิดหนึ่ง พวกเราบางคนอาจรู้ว่าก่อนที่จะเปิดรับสมัครนักแสดงและได้รองนายกเทศมนตรีพิมายมาเป็นพระเอก ฉันเคยทาบทามตั้วมาเล่นเป็นเมฆเด็ด ด้วยนึกสนุกว่าน่าจะมันดีถ้าได้แกนนำพันธมิตรที่เป็นดาราแถวหน้ามาแสดงบทแม็คเบ็ธ อันเป็นโคตรต้นตำหรับของเผด็จการอย่างทักษิณ เดชะบุญที่เขาไม่ได้นึกสนุกกับเรา มิฉะนั้น เราอาจเจอของหนักกว่านี้ก็เป็นได้ (แต่หนักกว่าแบนคืออะไรก็นึกไม่ออกเหมือนกัน)
เราพยายามออกไปทางประตูด้านข้าง ที่กลุ่มหลากสีของหมอตุลย์ตั้งทัพอยู่ ล้อมรอบด้วยลวดหนามและทหารอย่างแน่นหนากว่าทางพันธมิตรเสียอีก (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าประตูด้านนั้นเปิดกว้างอยู่ และเป็นทางที่เสื้อแดงอาจจะเข้ามาปะทะกันได้) ทหารตรงนั้นบอกว่าต้องเดินอ้อมไปไกลแล้ววกกลับไปที่เขาดิน
ตอนนั้นราวบ่ายสองโมง ร้อนมาก แบ็ตกล้องก็หมดพอดี เราตัดสินใจเดินกลับไปที่ประตูหน้า และอ้อนวอนขอออกไปทางเดิม คราวนี้เขายอมแย้มประตูให้เราเบียดออกไปได้ (ค่อนข้างลำบากสำหรับบ็อสเลดี้ที่รักของเรา) ทายสิว่าเราพบใครมายืนประท้วงอยู่ข้างหน้าสุด? มาดามบังอรนั่นเอง แม่บ้านผู้หาญกล้าของเรา เธอใส่เสื้อเหลืองตัวเก่า ถือร่มกับมือตบ มาคนเดียวอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย เธอทั้งดีใจและตกใจที่เราโผล่ออกมาจากรั้ว ‘ศัตรู’ แต่ไม่ยอมทิ้งพันธมิตรกลับบ้านกับเรา ฉันรู้อยู่ว่าอรขอลางานมากู้ชาติ แต่ไม่นึกว่าจะได้พบกันท่ามกลางคนเป็นหมื่น (อรอยู่ในหนังด้วย – เล่นเป็นผู้ประท้วง ซึ่งเล่นได้ดีโดยไม่ต้องซ้อมเลย, ‘คนกราบหมา’ เธอก็เคยเล่นเป็นคนบ้าหวย สรุปว่าเธอก็เคยถูกแบนสองรอบเหมือนกัน)
แปลกดี ถ้าเขียนเป็นบทหนังคงเชื่อไม่ได้ ที่เราไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้หนังของเรา - ที่ถูกแบน ถูกตราหน้าก่อนฉายว่าสร้างความแตกแยกสามัคคีของคนในชาติ ว่าไร้ศีลธรรมและเป็นภัยต่อความมั่นคงและเกียรติภูมิของประเทศ - จากรัฐสภาที่ถูกห้อมล้อมด้วย “ป่าใหญ่พรนำ” ที่ “ลุกขึ้นเดินปีนสู่ยอดเขา เพื่อประชิดราชวังเมฆเด็ด” เพื่อประท้วง พรบ.ปรองดองที่กำลังถูกยัดเยียดลงคอหอยประชาชน แต่เมฆเด็ดแห่งเรื่องจริงที่กำลังเผยออกมาสู่สายตาเรา อยู่ห่างไกลถึงดูไบ ท่ามกลางทะเลทรายอันยิ่งใหญ่ของอราเบีย โลกนี้ไม่มีทั้งน้ำหอม หรือกฎหมายปรองดองใดใด ที่จะทำให้มือคาวเลือดของเขาหอมใหม่ได้อีกเลย
ด้วยความรักจากผู้กำกับของท่าน
8 มิย. 55, กทม.